Saturday, December 19, 2009

เทคนิคการทำงาน : เงินทองของ...ฟรีแลนซ์

เทคนิคการทำงาน : เงินทองของ...ฟรีแลนซ์


เงินทองของ..ฟรีแลนซ์......ต้องนึกไว้เสมอว่า “ฟรีแลนซ์” ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเหมือนพนักงานบริษัท เพราะฉะนั้นต้องออมระยะยาวด้วยตัวของเราเอง
.
“ฟรีแลนซ์” อาชีพยอดฮิตแห่งยุคสมัย ของผู้คนที่โหยหาความอิสระและผลตอบแทนงามๆ ไม่ต้องทำงานซ้ำซากจำเจ หรือเข้างานเป็นเวลาเหมือนมนุษย์เงินเดือน
.
ทุกวันนี้จึงมีคนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อย ที่ตัดสินใจเดินออกจากบริษัทและองค์กร เพราะต้องการที่จะใช้ชีวิตอย่างอิสระ และประกอบอาชีพที่ตัวเองเลือก ไม่ว่าจะเป็นช่างภาพ ช่างแต่งหน้า หรือคนเขียนการ์ตูน
.
ฟังดูเหมือนเข้าที แต่เสียงสะท้อนจากผู้ที่ยึดอาชีพนี้ต่างบอกว่า รายได้ดีก็จริง แต่ทำไมหนอ เงินทองที่หามาได้ กลับเก็บไม่ค่อยได้เอาซะเลย บัญชีเงินฝากยังว่างโล่ง
.
ถ้าเป็นอย่างนี้ ปัญหาของผู้ยึดอาชีพฟรีแลนซ์นี้อยู่ตรงไหน และพวกเขาควรจัดการเงินทองอย่างไรดี ถึงจะทำให้การดำเนินอาชีพอิสระเป็นไปอย่างราบรื่นถึงบั้นปลายของชีวิต
.
ยิ่งเป็นฟรีแลนซ์ ยิ่งต้องวางแผนการออมและจัดการเงินทองที่รัดกุมกว่ามนุษย์เงินเดือน!!
.
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะการเป็นพนักงานบริษัทหรือเจ้าหน้าที่ขององค์กรนั้น ยังมีสวัสดิการ และช่องทางการออมในรูปแบบต่างๆ ที่จะช่วยทำให้การจัดการเงินทองของคุณนั้นง่ายขึ้น
.
ส่วนฟรีแลนซ์นั้น รายได้เข้ามาไม่แน่นอน แม้จะมีสิทธิเลือกงานได้มากกว่าคนอื่น แต่งานที่เราชอบอาจไม่ได้เข้ามาตลอด เพราะฉะนั้น เมื่อทำงานและมีรายได้เข้ามาก็ควรเก็บออมไว้และใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง
.
สำหรับคนที่เป็นฟรีแลนซ์ “รายได้” จึงเป็นตัวแปรสำคัญ ฟรีแลนซ์บางคนมีคนมารอเข้าคิวจ้างเต็มไปหมด รายได้อาจจะมากกว่ามนุษย์เงินเดือนเสียด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าเป็นพวกศิลปินนักแสดงก็ยิ่งมีรายได้เยอะมีอิสระในการเลือกทำงานได้อย่างเต็มที่ สิ่งที่ต้องระวังคือ ความไม่สม่ำเสมอของรายได้เท่านั้นเอง บางคนมีรายได้เป็นวัน ถ้าดูแลเงินไม่ดีเงินก็อาจใช้หมดภายในวันเดียว
.
หากคุณเป็นหนึ่งในบรรดาฟรีแลนซ์ที่ยังจัดการเงินทองยังไม่ลงตัวเสียที ลองจัดการตามนี้ดูเผื่อว่ากระเป๋าสตางค์ของคุณจะหนาและหนักขึ้นบ้าง
.
.
๐ จดทุกรายละเอียด
.
ก้าวแรกในการวางแผนการเงินของฟรีแลนซ์ ควรเริ่มต้นจากการจดรายละเอียดรายได้ทุกอย่างที่ได้รับ เพราะโดยปกติอาชีพฟรีแลนซ์มักมีรายได้เข้ามาไม่แน่นอน บางคนได้ทุกวัน บางคนได้สัปดาห์ละครั้ง ขณะที่บางคนได้เดือนละหลายครั้ง ฟรีแลนซ์หลายคนเมื่อได้เงินมาจึงใช้จ่ายหมดไปโดยไม่รู้ตัว
.
สิ่งที่ควรทำเมื่อเริ่มต้นจัดการเงินทองคือ จดรายได้ที่ได้รับในแต่ละวันหรือแต่ละครั้ง เพื่อที่จะได้รู้ว่าในแต่ละเดือนเรามีรายได้เท่าไหร่
.
ช่างแต่งหน้าบางคนทำงานชั่วโมงเดียวได้เงิน 1,000 บาท คิดดูว่าแค่รับงานวันละ 3-4 เจ้าก็ได้หลายพันแล้ว รายได้จึงดีกว่ามนุษย์เงินเดือนอีก แต่ปัญหาของพวกนี้คือ เมื่อได้มาก็ใช้ไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง เงินก็หมดไปโดยไม่รู้ตัว ความจริงถ้าจดลงไปว่าวันนี้เราได้มาเท่าไหร่ พรุ่งนี้ได้เท่าไหร่ ในเดือนหนึ่งเราก็จะรู้ว่าเดือนนี้มีรายได้เท่าไหร่ และถ้าจะให้ดีคือ จดไว้ด้วยว่าในแต่ละเดือนเราได้ใช้จ่ายอะไรไปบ้าง จะได้รู้ว่านิสัยการใช้จ่ายเราเป็นอย่างไร
.
.
๐ ออมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

เพราะธรรมชาติของฟรีแลนซ์นั้นคือ การมีรายได้ที่ไม่นอน อนาคตของพวกเขาจึงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนตามไปด้วย การรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคต บรรดาฟรีแลนซ์จึงควรตั้งหน้าตั้งตาออมให้มากที่สุด และออมเท่าที่จะมากได้
.
มนุษย์เงินเดือนทั่วไปอาจจะออมเดือนละ10-30 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ แต่สำหรับฟรีแลนซ์นั้น ถ้าเป็นไปได้ให้กันรายได้มาออม 50 เปอร์เซ็นต์ ทันทีที่ได้รับเงิน ที่เหลือค่อยจับจ่ายใช้สอย ถ้าทำแบบนี้ได้ถือว่าเป็นการสร้างวินัยในเบื้องต้น ขณะเดียวกันในแง่ของการจับจ่ายใช้สอย ก็ต้องทำไปอย่างระมัดระวัง ไม่ใช่ใช้จ่ายเพลินมือ
.
อย่าลืมนะ ว่าในแต่ละเดือนคุณยังไม่แน่ใจว่ารายได้จะมีเข้ามาเท่าไหร่ เดือนนี้อาจจะมากเดือนหน้าอาจจะน้อย หรือบางเดือนอาจจะแทบไม่มีเข้ามา ดังนั้นสิ่งที่คุณควรทำอย่างยิ่งคือ เมื่อมีรายได้รับเข้ามาเท่าไหร่ให้ออมไว้เลยครึ่งหนึ่ง อย่างน้อยเงินที่คุณออมไว้ อาจจะไปช่วยเยียวยาอนาคตของคุณเองในกรณีที่บางเดือนอาจไม่มีรายได้เข้ามาเลย
.
.

๐ ปรับไลฟ์สไตล์การใช้จ่าย
.
เพราะไลฟ์สไตล์ของฟรีแลนซ์จำนวนไม่น้อย นิยมการเลี้ยงสังสรรค์และมีงานปาร์ตี้อยู่เป็นประจำ บางคนสังสรรค์สัปดาห์ละหลายวัน บางคนเมื่อได้เงินมาก็บินไปท่องเที่ยวในต่างประเทศทันทีที่มีเงินเข้ากระเป๋า การกิน ดื่ม เที่ยว และใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี จึงเป็นไลฟ์สไตล์ติดตัวฟรีแลนซ์จำนวนไม่น้อย
.
แต่เมื่อไหร่ที่คิดจัดการกับเงินทองอย่างจริงจัง จะต้องเริ่มจากการปรับไลฟ์สไตล์อย่างเอาจริงเอาจัง เช่น ลดความถี่ของการสังสรรค์ลงบ้าง ในที่สุดก็จะทำให้มีเงินเหลือพอที่จะเก็บได้ เพราะรายจ่ายอาจจะลดลงไปประมาณ 25 เปอร์เซ็นต


๐ ทำประกันเพื่ออนาคต
.
การทำประกันเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่คุณสามารถทำได้ ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่ออนาคตของตัวคุณเอง ในแง่ของการออมนั้น นอกจากฝากเงินกับธนาคาร สิ่งที่ฟรีแลนซ์ควรทำคือ จัดสรรเงินไว้ทำประกัน เพราะในอนาคตไม่มีอะไรเป็นหลักประกันชีวิตเหมือนพนักงานบริษัทหรือข้าราชการทั่วไป
.
ซึ่งประกันในปัจจุบันมีให้เลือกหลายแบบ อาจจะเลือกทำแบบสะสมทรัพย์เพื่อชีวิตในบั้นปลายก็ได้ หรือจะทำแบบที่สามารถคุ้มครองในยามเจ็บไข้ได้ป่วย
.
.

๐ ลงทุนเพื่อบั้นปลายชีวิต
.
นอกเหนือจากการออมเงินในแบบพื้นฐาน เช่น การฝากแบงก์หรือทำประกันแล้ว ควรจะลงทุนในรูปของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) เพราะกองทุนพวกนี้อย่างน้อยเป็นการออมและลงทุนที่ช่วยประหยัดภาษี แถมทำให้ชีวิตในวัยเกษียณอยู่อย่างสุขสบาย
.
ต้องนึกไว้เสมอว่า ฟรีแลนซ์ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเหมือนพนักงานบริษัท เพราะฉะนั้นต้องออมระยะยาวด้วยตัวของเราเอง อะไรที่เป็นช่องทางให้ออมในระยะยาวได้ก็ควรทำ เช่น ลงทุนในกองทุน LTF กับ RMF อย่างละ 15 เปอร์เซ็นต์ รวมกันแล้วก็ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ของรายได้
.
.

๐ ก่อหนี้ให้น้อยที่สุด
.
กฎการเงินอีกข้อหนึ่งสำหรับฟรีแลนซ์ คือควรจะก่อหนี้ให้น้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นหนี้ที่เกิดจากอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นกู้ซื้อบ้าน ซื้อรถ สินเชื่อบุคคล หรือเงินด่วน เพราะความที่รายได้ไม่แน่นอน หากสร้างหนี้ไว้มาก มีภาระต้องผ่อนชำระมาก แต่รายได้ในบางเดือนอาจไม่เพียงพอต่อการชำระ จนในที่สุดกลายเป็นหนี้เสีย และเสี่ยงต่อการที่ชื่อของคุณจะถูกขึ้นบัญชีดำอยู่ในเครดิตบูโรเปล่าๆ
.
สำหรับฟรีแลนซ์ทั้งหลายที่อยากจัดการเงินทองอย่างจริงจัง แต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนดี ลองหยิบเคล็ดลับเหล่านี้ไปใช้ รับรองว่าถนนสายการออมของคุณจะราบรื่นขึ้นเยอะ " ความจริงการเป็นฟรีแลนซ์มีข้อดีข้อเสียคละเคล้ากันไป ถ้ามองในแง่ของการเป็นหนี้นั้น พวกฟรีแลนซ์มักจะไม่ได้รับการนำเสนอจากพวกบรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นพวกบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล หรือแม้กระทั่งจะกู้ซื้อรถบางทีก็กู้ได้แค่ 70-80% ขณะที่พวกมนุษย์เงินเดือนมีแต่พวกบัตรเครดิต เงินด่วนไปนำเสนอ เวลาจะกู้ซื้อรถก็ได้เกือบ 100% ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ฟรีแลนซ์มีโอกาสสร้างหนี้ได้น้อยกว่าพวกมนุษย์เงินเดือน"
.
.
.
ที่มา : จาก จัดระเบียบการเงินให้อยู่หมัด โดย กาญจนา หงษ์ทอง
.
.
.
.
.
.
.

Wednesday, December 16, 2009

อาชีพช่างแต่งหน้า Make-up Artist




ช่างแต่งหน้า { Make-up Artist }

มีคำๆ หนึ่ง หรืออีกสายอาชีพหนึ่ง มาเล่าสู่กันฟัง ในสังคมที่เราอาศัยอยู่ มีอยู่หลายสาขาอาชีพ ซึ่งแต่ละสาขาอาชีพ ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญ แตกต่างกันไปแล้วแต่ละสายงาน ควรจะให้เกียรติ์ ซึ่งกันและกัน ซึ่งบ่อยครั้งที่ในความแตกต่างของสายงาน ต้องมาเกียวเนื่องกัน เพื่อให้หนึ่ง Project สำเร็จลุล่วง แต่ละสาขา อาชีพล้วนแล้วแต่ ต้องอาศัย ทักษะ และความชำนาญ


การแต่งหน้า มิใช่เพียงสักแต่การเอาสีมาป้ายๆๆ บนใบหน้าแค่นั้น


หลักสูตร การแต่งหน้าเบื้องต้น

สิ่งคนเป็นช่างแต่งหน้า ควรรู้ หรือผ่านการอบรม เป็นหลักสูตรเพื่อการเป็นช่างแต่งหน้า ซึ่งจะละเอียดกว่าการแต่งหน้าสำหรับตนเอง

  1. ทฤษฎีผิว...ปัญหาของผิวพรรณ และการดูแลรักษา
  2. ขั้นตอนการดูแลผิว อย่างถูกวิธี
  3. โครงสร้างและสัดส่วนของใบหน้า
  4. ทฤษฎีรองพื้น และการใช้รองพื้นชนิดต่างๆ
  5. การแก้ไขรูปหน้า ในขั้นตอนของการใช้ครีม แรเงา แก้ไขจุดบกพร่องบนใบหน้า
  6. การแก้ใขรูปหน้า ในขั้นตอน การแต่งคิ้ว ตา แก้ม ปาก การใชสีสันบนใบหน้า ให้เข้ากับสีของเสื้อผ้า
  7. การแต่งหน้าเจ้าสาว

การทำงานของช่างแต่งหน้า ในสายงานธุรกิจบันเทิง
การเรียน หรือ อบรม ในหลักสูตรการแต่งหน้า ธุรกิจบันเทิง ต้องผ่านหลักสูตรการแต่งหน้า ขั้นต้นมาก่อน การทำงานของช่างแต่งหน้า ในสายงานธุรกิจบันเทิง จะแตกต่างกับการแต่งหน้าโดยทั่วไป คือ การแต่งหน้าสวยงามทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการแต่งหน้าเจ้าสาว การแต่งหน้าบัณฑิต หรือการแต่งหน้าเพื่อเข้าสังคมต่างๆ ซึ่งเป็นการทำงานระหว่างช่างแต่งหน้า กับผู้ว่าจ้างเท่านั้น


แต่การทำงานในแวดวงธุรกิจบันเทิง จะเป็นการทำงานร่วมกันหลายฝ่าย มีข้อจำกัดและกฎเกณฑ์ต่างๆมาเกียวข้องมากกว่าปกติ ซึ่งช่างแต่งหน้าจะต้องศึกษาลักษณะงานในแต่ละประเภท เพื่อความพร้อมก่อนการปฎิบัติงาน ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยของการทำงานในสายงานธุรกิจบันเทิงทุกประเภท เช่น การแต่งหน้าเพื่อการถ่ายทำละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ ภาพยนตร์โฆษณา รายการโทรทัศน์ การถ่ายทำภาพนิ่ง แฟชั่นโชว์ ละครเวที รวมถึงนิตยสาร และสื่อสิ่งพิมพ์อื่นๆ ซึ่งแต่ละประเภทจะแตกต่างกัน


หลักสูตรการแต่งหน้า สำหรับธุรกิจบันเทิง

  1. การเลือกสีรองพื้นสำหรับการแต่งหน้าเข้ากล้อง
  2. Documentary Make-up
  3. Straight Make-up
  4. Clean Beauty Make-up
  5. Glamour Beauty Make-up
  6. Stage Make-up
  7. การแต่งหน้าสำหรับละครเวที
  8. การแต่งหน้าอ้างอิงวัฒนธรรม
  9. ทฤษฎีการแต่งหน้าตามยุคแฟชั่น

ตย.









ละครไทย (โขน)
















ละครไทย (โขน)


แต่งหน้าอ้างอิงวัฒนธรรม (งิ้ว)

Clean Beauty Make-up


ซึ่งนอกจากนี้ ก็อยู่ที่ Tips และเทคนิค ของช่างแต่งหน้า แต่ละคนที่จะนำมา Apply ใช้แล้วแต่ประสบการณ์ และทักษะของช่างแต่งหน้า ซึ่งหากต้องการศึกษา ให้ลึกไปกว่านี้ จะมีหลักสูตรเฉพาะทางเพิ่มอีก นั่นคือ

การเรียนหรือ อบรม ให้ลึกไปอีก เป็นเฉพาะทาง ก็ต้องผ่าน การแต่งหน้าเบื้องต้น และหลักสูตรธุรกิจบันเทิงมาก่อน

.

หลักสูตรการแต่งหน้า เทคนิคพิเศษ

  • Special effect Make-up
  • Body Paint Make-up



แต่งหน้าเทคนิคพิเศษ

แต่งหน้าเทคนิคพิเศษ















แต่งหน้าเทคนิคพิเศษ

ซึ่งเป็นเนื้อหาทักษะ ที่ต้องมีพื้นฐานการ การแต่งหน้าเบื้องต้น และ การแต่งหน้าเพื่อธุรกิจบันเทิงมา ก่อน ทั้งหมดนี้ เป็น Contents หัวเรื่องที่ช่างแต่งหน้า อาชีพต้องรู้ ยังมีรายละเอียดอีกเยอะรวมถึงประสบการณ์ และการเรียนรู้เพิ่มเติม สิ่งใหม่ๆๆ อยู่เสมอด้วย



.

.

เขียนโดย : Miss Naowarat KS. (Kob)

http://mine-independent.blogspot.com/
.

.

.

.

.

วิธีทำบุญง่ายๆ ตามภาษาคน(ไม่ค่อย) มีเวลา




วิธีทำบุญง่ายๆ สำหรับคนไม่มีเวลา สามารถทำได้ทุกวัน
โดยได้บารมี ๑๐ ทัศ ครบถ้วนบริสุทธิ์ บริบูรณ์

พูดถึงเวลาถ้าเราทำบุญ คนส่วนใหญ่มักนึกถึงการ ตักบาตรหรือเข้าวัดทำบุญ เป็นส่วนมาก ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่มีเวลา ก็เลยเสียโอกาสในการสั่งสมบุญ บารมี


วันนี้จึงมีเรื่องมาเล่าให้ทุกๆท่านได้อ่านและพิจารณากัน เผื่อจะได้แง่มุมใหม่ๆในการสร้างบุญกุศล สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา หรือมีเวลาทำเป็นปกติอยู่แล้ว แต่มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้ได้อ่านเพื่อจะได้เข้าใจว่า ถ้าเราทำอย่งที่บอกต่อไปนี้ เราจะได้อะไรบ้าง ?

๑.) หา กระปุกออมสิน หรือ บาตรพลาสติก ( ร้านสังฆทานต่างๆจะมีขาย ) หรือภาชนะที่สะดวก ในการหยอดเงิน นำมาวางไว้ที่ในห้องพระ หรือหิ้งพระ สำหรับคนที่อยู่คอนโด หรืออพาร์ทเม้นต์ ถ้าไม่มีห้องพระ ให้หารูปพระ มาติดที่ฝาผนังก็ได้



๒.) ทุกวันให้เราสละเวลา เพียงวันละประมาณ ๒๐-๓๐ นาที สวดมนต์
ไหว้พระเวลาไหนก็ได้ที่เราว่าง เราสบายใจ เช้า สาย บ่าย เย็น หรือก่อน
นอน โดยเริ่มจากบท


۞ คำบูชาพระ

อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อะภิปูชะยามิ
(ข้าพเจ้าขอบูชาอย่างยิ่งต่อพระพุทธเจ้า ด้วยเครื่องสักการะนี้)

อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง อะภิปูชะยามิ
(ข้าพเจ้าขอบูชาอย่างยิ่งต่อพระธรรม ด้วยเครื่องสักการะนี้)

อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง อะภิปูชะยามิ
(ข้าพเจ้าขอบูชาอย่างยิ่งต่อพระสงฆ์ ด้วยเครื่องสักการะนี้)


۞ คำบูชาพระรัตนตรัย

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ
(กราบ)
สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ
(กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ
(กราบ)


۞ นมัสการพระพุทธเจ้า

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ


ระหว่างที่ตั้งนะโม ก็ให้เรานำเงินมา จบเอาไว้ในมือ จะกี่บาทก็ได้ ๕ บาท ๑๐ บาท หรือ ๒๐ บาท หรือจะมากกว่านั้นตามแต่ศรัทธา จากนั้นก็เริ่มสวด


۞ คำกล่าวบูชาไตรสรณคมน์

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ


۞ บทสรรเสริญ พระพุทธคุณ

" อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
อะนุตตะโร ปุริสสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ. "



( พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดย
พระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ (ความรู้และความประพฤติ) เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว (คือ ไปที่ใดยังประโยชน์ให้ที่นั้น) เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควารฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งไปกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนก ธรรมสั่งสอนสัตว์ )



۞ บทสรรเสริญ พระธรรมคุณ

" สวากขาโต ภะคะวา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ " (ออกเสียงว่า วิญญูฮีติ)


( พระรรมเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฎิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ปฎิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิดเป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน )



۞ บทสรรเสริญ พระสังฆคุณ

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

ญายะปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

สามีจิปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา

เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย

อัญชะลีกะระนีโย อะนุตตะรัง ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ


( สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฎิบัติดีแล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฎิบัติตรงแล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฎิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฎิบัติสมควรแล้ว ได้แก่ บุคคลเหล่านี้คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ (คือ พระอริยบุคคล ๘ ) นั่นแหละสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา เป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่ทักษิณา เป็นผู้ควรแก่การทำอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า )



* * * ถ้ามีเวลา ให้สวดบท


۞ พาหุงมหากา หรือ พุทธชัยมงคลคาถา
(ถวายพรพระ)


. พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ


. มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง
โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ


. นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง
ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ


๔. อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
ธาวันติโย ชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ


๕. กัตตวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา
จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ


. สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง
วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ


๗. นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง
ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ


๘. ทุคคาหะ ทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง
พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ


เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถาโย
วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ
โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะ


สวดจบแล้วให้กลับมาสวด พระพุทธคุณ บทเดียว
เท่าอายุบวกหนึ่ง ( ให้สวดเกินอายุ ๑ จบ เช่น อายุ ๓๐ ปี ต้องสวด ๓๑ จบ )

* * * ถ้าไม่มีเวลา ให้กลับมาสวด บทพระพุทธคุณ บทเดียว
สวด ๙ จบ หรือ เท่าอายุบวกหนึ่ง



๓.) ต่อจากนั้น ตั้งสมาธิจิตสักระยะหนึ่ง แล้วอธิษฐานจิตจนเสร็จ จากนั้น
เอาเงินที่จบไว้ในมือ ใส่เข้าไปในภาชนะที่เตรียมไว้ที่หิ้งพระหรือโต๊ะหมู่บูชา หรือหน้ารูปพระ เสร็จแล้วอย่าลืม แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลทุกครั้งให้เจ้ากรรมนายเวร
ทำอย่างนี้ทุกวันอย่าให้ขาด


۞ แผ่เมตตาตัวเอง

อะหัง สุขิโต*(ตา) โหมิ
(ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข)

นิททุกโข*(ขา) โหมิ
(ปราศจากความทุกข์)

อะเวโร*(รา) โหมิ
(ปราศจากเวร)

อัพยาปัชโฌ*(ฌา) โหมิ
(ปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวง)

อะนีโฆ*(ฆา) โหมิ
(ปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ)

สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ
(มีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด)

* หญิงเปลี่ยนจาก โต เป็น ตา ,โข เป็น ขา ,โร เป็น รา ,โฌ เป็น ฌา
* หญิงเปลี่ยนจาก โฆ เป็น ฆา



۞ คาถาแผ่เมตตา (แผ่ให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย)

สัพเพ สัตตา
(สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น)

อะเวรา โหนตุ
(จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย)

อัพพะยาปัชฌา โหนตุ
(จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย)

อะนีฆา โหนตุ
(จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย)

สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
(จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ)



๔.) หลังจากนั้น เราก็จะได้บารมีครบถ้วน เพียงแค่สวดมนต์ไม่กี่นาที และสิ่งเหล่านี้ก็จะสะสมในใจเราทีละน้อย เหมือนกับเราเก็บเงินวันละ บาท ๑๐ วันก็ได้ ๑๐ บาท แต่ถ้าเราไม่ทำอะไร เราก็จะไม่ได้อะไรเลย
แล้วเงินที่เราหยอดทุกวัน ที่ได้จากการสวดมนต์ ก็เหมือนเราตักบาตรทุกวัน โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
เมื่อมีโอกาสเข้าวัด หรือจะไปทำบุญตามสถานที่ต่างๆ เราก็นำเงินนั้นแหละไปทำบุญ หยอดตู้ ใส่ซอง
ทำให้จิตของเราติดอยู่กับบุญกุศล ทุกวัน และเราก็จะได้



บารมีครบถ้วน ๑๐ ประการมีดังนี้

๑. ทานบารมี = ขณะที่เราสวดมนต์เสร็จ
เราทำทานคือเอาเงินที่จบใส่ใน กระปุกออมสิน หรืออื่นๆ เป็น ทานบารมี

๒. ศีลบารมี = ขณะที่เราสวดมนต์อยู่
ในขณะนั้นเราไม่ได้ทำบาปกรรมกับใคร มีศีลอยู่ในขณะที่สวดมี ศีลบารมี

๓.เนกขัมมบารมี = ขณะที่เราสวดมนต์อยู่ จิตของเราปราศจาก นิวรณ์
มารบกวนจิตใจ ถือว่าเป็นการบวชใจ ถือว่าเป็น เนกขัมมบารมี

๔. ปัญญาบารมี = การสวดมนต์ทำด้วยความศรัทธา ทำด้วยปัญญาที่เห็นว่า
มันเป็นประโยชน์ช่วยฝึกฝนให้เกิดสติ มีสมาธิเป็น ปัญญาบารมี

๕. วิริยะบารมี = ถ้าเราไม่มีความเพียร เราก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นความ
เพียรเป็น วิริยะบารมี

๖. ขันติบารมี = มีความเพียรแล้ว ไม่มีความอดทน ความเพียรก็ตั้งอยู่ไม่ได้
เพราะฉะนั้นต้องมีความอดทน ความอดทนเป็น ขันติบารมี

๗. สัจจะบารมี = มีความเพียร มีความอดทนแล้ว และมีความจริงใจ
ในการประพฤติปฏิบัติ ซึ่งความจริงใจคือ สัจจะบารมี

๘. อธิษฐานบารมี = เมื่อเราสวดมนต์เสร็จ ทำสมาธิ ตั้งจิตอธิฐาน
การอธิฐานเป็น อธิษฐานบารมี

๙. เมตตาบารมี = ใส่บาตร สวดมนต์เสร็จ ก็ต้องแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล
การแผ่เมตตาเป็น เมตตาบารมี

๑๐. อุเบกขาบารมี = ขณะที่แผ่เมตตา เราต้องทำใจของเราให้มีเมตตา
ต่อสัตว์ทั้งหลาย ทำใจให้เป็นพรหมวิหาร ๔ อุเบกขา วางเฉย
อโหสิกรรม กับบุคคลที่เราเคยล่วงเกินกันมา ไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร
ไม่ชอบใคร ไม่ชังใคร ทำใจให้นิ่ง ทำจิตให้สงบ วางใจให้เป็นอุเบกขา
เป็น อุเบกขาบารมี


เห็นมั๊ยค่ะ เพียงแค่เราสละเวลา อันน้อยนิด เราก็ได้บารมีครบถ้วนบริสุทธิ์
บริบูรณ์ ซึ่งมีผู้ที่ปฏิบัติทุกวันบอกว่า ถ้าเราสละเวลาทำทุกวันจะทำให้ท่าน
มีสมาธิ และมีสติดีขึ้น มีอารมณ์เยือกเย็นและมีอารมณ์ดี อารมณ์เดียว
จะคิดจะทำอะไร ไม่ติดขัด ...



ขออนุโมทนาสาธุการ กับทุกท่านค่ะ


ที่มา : อ่านเจอในหนังสือ บทสวดมนต์ ทำวัตรเช้า - เย็น





บางช่วงไม่มีสมาธิเอาเสียเลย.....เลยพยายามหาวิธีให้นิ่ง
ไปเจอข้อปฎิบัตินี้ เพื่อนๆ บางคนอาจจะปฎิบัติอยู่แล้ว
แต่ก็ขอนำมาฝากเพื่อนๆ ด้วย
การไหว้พระสวดมนต์ เป็นการบำเพ็ญภาวนาอย่างหนึ่ง
และยังเหมาะสำหรับ การเตรียมตัวก่อนปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ด้วย